RSS

ปรัชญาเซน ของสตีฟ จอบส์

ประวัติย่อของ สตีฟ จอบส์

เริ่มก่อตั้งบริษทั Apเple ดีไซน์สินค้าด้วยแนวคิดเซน ในปี 1976 จอบส์และเพื่อนสมัยเรียนที่ชื่อ “สตีฟ วอซเนียก” ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple Computer ขึ้นที่โรงรถในบ้านของจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่อง Apple Iและเพียง 10 ปีให้หลัง Apple ก็เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และพนักงานมากกว่า 4,000 คน!!จอบส์เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wired ของอเมริกาว่า “มีคำคำหนึ่งในศาสนาพุทธ คือ จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็ นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น
ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆ ทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียงให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความ ประหลาดใจด้วยความเชื่อดังกล่าว สตีฟ จอบส์ จึงนาแนวคิดแบบเซนมาใช้กับบริษัทApple Inc ของเขา ในการออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานของสินค้าให้มีแนวทางบริสุทธิ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ และง่ายต่อการใช้งาน

ปรัชญาเซน ของสตีฟ จ็อบ 

         วาทะของสตีฟ...จอบส์เล่าว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สาคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่า มีความหมายและความสาคัญที่แท้จริงเท่านั้น
           "วิธีคิดเช่นนี้ ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันท้ังนั้น” 
          "จงแสวงหาความรู้ ราวจะอยู่ได้ค้ำฟ้า จงใช้ชีวิตเสมือนว่า จะมรณาในวันพรุ่ง"
        "บางครั้งชีวิตก็กระแทกก้อนอิฐเข้าที่หัวของคุณอย่างแรง จงอย่าสูญสิ้นศรัทธา ผมมั่นใจตลอดมาว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังคงก้าวต่อไปข้างหน้าก็เพราะผมรักในสิ่งที่ทำคุณเองก็ต้องค้นหาสิ่งที่คุณรัก มันเป็นความจริงสำหรับการค้นหางานที่คุณรัก เช่นเดียวกันกับการพบคนที่คุณรักงานของคุณจะเติมเต็มในส่วนใหญ่ของชีวิตและหนทางเดียวที่จะสร้างความพึงพอใจอย่างแท้จริงก็คือการทำสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันคืองานอันยิ่งใหญ่ และทางเดียว ที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ก็คือการรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังหามันไม่พบขอให้พยายามต่อไปอย่าหยุดอยู่กับที่จงใช้หัวใจเป็นส่วนสำคัญ แล้วคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้พบมันมันก็เหมือนกับมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ที่จะค่อยๆ แนบแน่น และดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปเช่นนั้นแล้วคุณก็จงค้นหาความฝัน จนกว่าจะพบมันอย่าหยุดก่อนที่จะไปถึง"
เรื่องที่สาม เกี่ยวกับความตาย
        ตอนที่ผมอายุ 17 ผมเคยอ่านพบคำคมที่บอกไว้ทำนองที่ว่า "ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวัน ให้เหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตสักวันหนึ่งคุณจะได้เป็นในสิ่งที่ ถูกต้องที่สุดอย่างแน่นอน"
        ผมประทับใจมาก นับจากนั้น อีก 33 ปีที่ต่อมา ผมบอกตัวเองในกระจกทุกๆ เช้า แล้วเฝ้าถามว่า "ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตเราจะยังทำในสิ่งที่เรากำลังจะทำอยู่ในวันนี้หรือไม่? หากคำตอบคือ "ไม่" หลายๆ วันติดต่อกันผมก็จะรู้ได้ว่าชีวิตถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างแล้วการตระหนักว่าเรากำลังจะตายนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุด ที่ช่วยให้ผมตัดสินใจในช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของชีวิตการตระหนักว่าเรากำลังจะตายนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ช่วยให้ผมตัดสินใจในช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะเกือบทั้งหมดทุกสิ่ง ทั้งความคาดหวังจากคนรอบข้าง เกียรติยศศักดิ์ศรี, การกลัว และการอับอายจากความล้มเหลวสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายใดๆ เลย เมื่อต้องเผชิญกับความตาย คงเหลือไว้เพียงสิ่งสำคัญอย่างแท้จริงเท่านั้น การระลึกเสมอว่าเรากำลังจะตายนั้น เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถหลีกเลี่ยง หลุมพรางความคิดเรื่องการสูญเสีย เมื่อคุณเปลื่อยเปล่าหมดแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลใดอื่น ที่จะไม่กล้าทำตามหัวใจตัวเอง"
        "ช่วงปีที่ผ่านมาผมถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ผมเข้ารับการตรวจหาโรคนี้ตั้งแต่เช้าเวลา 7.30 น. และพบก้อนเนื้องอกในตับอ่อนอย่างชัดเจน เวลานั้นผมไม่รู้เลยว่าตับอ่อน คืออะไร หมอบอกว่าสิ่งที่ผมเป็นคือ มะเร็งชนิดหนึ่ง และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และนั้นทำให้ผมรู้ว่าจะมีชีวิตต่อไป อีกเพียง 3 ถึง 6 เดือนเท่านั้น หมอแนะนำว่า ผมควรจะกลับบ้านและจัดการธุระทั้งหลายในชีวิต ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการเตรียมพร้อมสำหรับความตายที่จะมาถึงมันหมายถึงการพยายามสอนลูกๆ ทุกๆ เรื่องที่คุณเคยคิดว่าจะบอกเค้าในอีก 10 ปีถัดไป ภายในเวลาไม่กี่เดือนมันหมายถึงการจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อที่ ครอบครัวของคุณจะได้ไม่ยุ่งยาก และมันหมายถึงการกล่าวคำอำลาต่อเรื่องราวทั้งหมดของชีวิตผมมีชีวิตอยู่กับคำวินิจฉัยตลอดทั้งวันจนกระทั่งตอนเย็นเมื่อเข้ารับการตรวจ หมอได้สอดเครื่องมือผ่านลำคอของผมเข้าไปที่กระเพาะ ผ่านไปถึงลำใส้ ใส่เข็มเข้าไปในตับอ่อนและตัดเนื้อเยื่อบางส่วนจากก้อนเนื้อออกไปวิเคราะห์ ตอนนั้นผมยังสะลืมสะลืออยู่ แต่ภรรยาที่อยู่กับผมตลอดบอกว่า หมอได้ตรวจเซลล์บางส่วนผ่านกล้องจุลทรรศน์ แล้วพวกเขาก็ร้องออกมาเพราะผลที่ได้พบว่ามันเป็นมะเร็งต์ตับอ่อนที่พบอยาก ชนิดที่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดผมเข้ารับการผ่าตัดหลังจากนั้นจนหายเป็นปกติดีแล้วในตอนนี้เหตุการณ์ครั้งนี้้ที่ผมเฉียดเข้าใกล้ความตายมากที่สุด และหวังว่ามันเป็นการเข้าใกล้ความตายที่สุดในรอบหลายสิบปีต่อไป การที่ต้องใช้ชีวิตผ่านเรื่องราวดังกล่าวนี้ทำให้ตอนนี้ผมสามารถพูดถึงความตายได้อย่างมั่นใจ กว่าตอนที่ความตายยังเป็นแค่คำคมและแผงความคิดที่เคยได้ยินมา ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่บรรดาคนที่อยากจะไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายเพื่อที่จะไปที่นั้น แต่ความตายเป็นที่หมายปลายทางร่วมกันของพวกเราทุกคนไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ และควรจะเป็นเช่นนั้น"
        "เพราะความตายนั้นเป็นเหมือนสิ่งประดิษบ์ ชิ้นเยี่ยมของชีวิตเป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต ความตายจะชำระล้างสิ่งเก่า เพื่อเปิดทางให้การเกิดใหม่ ในตอนนี้ สิ่งใหม่ก็คือพวกคุณ แต่วันหนึ่งในอีกไม่ช้าไม่นาน พวกคุณก็จะค่อยๆ กลายเป็นสิ่งเก่าและถูกชำระล้างไปเช่นเดียวกัน ขออภัยที่น้ำเน่าไปหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริง เวลาของพวกคุณมีจำกัด ดังนั้นอย่ามัวเสียเวลากับการใช้ชีวิตของผู้อื่น อย่ามัวติดอยู่กับกฎเกณฑ์ความเชื่อที่ผู้คนงมงายยึดถือมันเอาไว้ อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่น ดังกลบเสียงจากภายในของคนเองและสิ่งที่สำคัญที่สุด จงกล้าที่จะเดินตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะพวกคุณล้วนตระหนักอยู่ข้างในลึกๆ ว่าอะไร คือสิ่งที่คุณต้องการจะเป็นจริงๆ สิ่งอื่นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องรองลงไป" 






  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS